บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว





แสงอรุณเบิกฟ้าส่องนำทาง
ขับไล่ความมืดที่ปกคลุมออกไป
วันคืนใหม่เวียนกลับคืนมา
พร้อม ๆ กับการดิ้นรนของชีวิตผู้คน
ที่กำลังจะดำเนินไป

ชีวิตยามรุ่งโรจน์และตกต่ำ
คือความจริงที่ได้เผชิญ
กว่าจะผ่านพ้นและก้าวเดินต่อไป
มนุษย์กลับต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไร?

ความสงบฤาจะสยบความเคลื่อนไหว
แต่บทเรียนในชีวิตหลายครั้งที่ผ่านมา
บอกว่า "หากใจยิ่งว้าวุ่น"
เป้าหมายที่หวังและฝันไว้
ก็จะห่างไกลออกไป
จนเราไม่สามารถที่จะไขว่คว้า
กลับคืนมาดังใจเราต้องการ..






.............................................



อรุณยามรุ่งสาง
อาทิตย์สาดส่องแสงงาม
ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขากลางพงไพร
วันคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ชีวิตหนึ่งถือกำเนิด
อีกชีวิตหนึ่งอาจสิ้นสูญ
ยามเมื่อมีลมหายใจ
ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจสูงสุดหรือยัง??





บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่












Create Date : 19 มกราคม 2551
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 6:31:16 น. 17 comments
Counter : 2177 Pageviews.

 

จ๊ะเอ๋
ไม่ใช่หนี่ฯ สักหน่อย
ว่าแต่อยากเห็นไหมล่ะ
ถ้าเห็นแล้ว แอบบ รักไม่รุ้น๊า
มั่นใจด้วยค่ะ เย้ ๆ ๆ ๆ


เพลงเพราะมาก ๆ ค่ะ
จุ๊บ จุ๊บ




โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:0:38:43 น.  

 
จริงค่ะ...
"หากใจยิ่งว้าวุ่น
เป้าหมายที่หวังและฝันไว้
ก็จะห่างไกลออกไป"
เพียงแต่เราสงบลงซักนิด
เราจะรู้สึกว่าบางทีสิ่งที่หวังไว้
มันมาหาเราเร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก


โดย: nikanda วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:5:18:07 น.  

 
สุขสันต์วันเสาร์ค่ะ


โดย: โสมรัศมี วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:10:07:47 น.  

 


จริงๆ เน๊าะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:14:32:36 น.  

 
คัดจาก //www.suvinai-dragon.com/

เขียนทำไม? เขียนอย่างไร?



- ดร.สุวินัย ภรณวลัย -

เอกภาพขององค์สาม

ผมเริ่มเขียนหนังสือครั้งแรกอายุ 23 ปี ถึงวันนี้ก็เกือบ 30 ปีแล้ว โดยปกติแล้ว สิ่งใดที่เรารัก เราจะอยู่กับมัน และสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างออกมา ผมรักการเขียน เพราะผมรักการคิด และรักการอ่าน ถ้าถามว่าเขียนทำไม ผมก็ต้องตอบว่าเราอ่านหนังสือทำไม และเราต้องคิดทำไม

จากประสบการณ์กว่าครึ่งศตวรรษของชีวิต ผมบอกได้เลยว่า การคิด การอ่าน และการเขียน ทำให้ ‘เราเป็นใคร’ คำว่า ‘เราเป็นใคร’ นี้ในเชิงปรัชญาเป็นคำถามเชิงรากเหง้า เหมือนกับคำถามว่า ‘เราเกิดมาทำไม’ ซึ่งสร้างคำถามตามมาอีกมากมาย เพราะฉะนั้น การตอบคำถามว่าเราเป็นใคร เราเป็นอะไร เราเป็นอย่างไร ต้องย้อนไปมองความสัมพันธ์ระหว่างการคิด การอ่าน และการเขียน หรือเอกภาพขององค์สาม (trinity)

ถ้าพูดกันแบบสรุปย่อก็คือ เขียนทำไม..การเขียนทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น คิดทำไม...การคิดก็เพื่อให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น อ่านหนังสือทำไม...ก็เพื่อทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น คำตอบของคำถามเหล่านี้จะขมวดนิยามว่าตัวเราเป็นใคร เรามีในภาพอุดมคติของชีวิตอย่างไร การคิด การอ่าน และการเขียน ช่วยให้เราตอบปัญหานี้ได้

การเขียนทำให้การอ่านของเราสมบูรณ์ และทำให้การคิดของเราสมบูรณ์ หลายคนอ่านหนังสือแล้วไม่ชอบเขียนเพราะรู้สึกว่าเวลาหรือพลังงานที่ใช้เขียนเพื่อสรุปสิ่งที่อ่านกลับนานกว่าเวลาที่ใช้อ่านเสียอีก แต่ผมจะบอกว่า การอ่านของคุณจะไม่สมบูรณ์เลยถ้าคุณไม่เขียนออกมา การเขียนทำให้คุณสามารถ master สิ่งที่อ่านได้

นี่เป็นเคล็ดลับของคนที่เดินอยู่บนวิถีแห่งอักษรา ถ้าอยากเป็นเทพอักษรา ต้องรู้เลยว่าสัจธรรมข้อที่หนึ่งคือ การเขียนทำให้การอ่านสมบูรณ์ การเขียนทำให้ความคิดสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถมองการเขียน การอ่าน และการคิด อย่างแยกส่วนออกจากกันได้ แต่ต้องมองอย่างบูรณาการ หรืออย่างเป็นองค์รวม

การคิด การอ่าน และการเขียน เป็นคุณสมบัติที่มีเฉพาะมนุษย์เท่านั้น สัตว์อื่นไม่มี เพราะฉะนั้น การพัฒนาความเป็นมนุษย์ต้องพัฒนาการอ่าน การคิด และการเขียน สังคมของเรามีปัญหาเพราะอะไร เพราะว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยมาก ถามว่าในสัปดาห์หนึ่งคุณอ่านหนังสือกี่เล่ม ถ้าตอบไม่ได้ แสดงว่าพัฒนาการด้านความเป็นมนุษย์ของคุณจะช้าแล้ว

การเขียนจะดีได้ก็ต่อเมื่อการเขียนนั้นมีเนื้อหาเพียง 10% ของสิ่งที่อ่าน ถ้าใครเขียนมากกว่า 10% ของการอ่าน คุณภาพของการเขียนจะลดถอยลง เราต้องอ่านหนังสือให้มากเพื่อคั้นออกมาจนเหลือแค่ผลึกความคิด หรือผลึกของการอ่าน ไม่ควรเกิน 10% งานเขียนจึงมีอิทธิพลต่อผู้อื่น ผลงานเขียนที่ปรากฏในบรรณพิภพเป็นเพียงปลายน้ำแข็ง (iceberg) ของปริมาณการอ่านเท่านั้น

แรงบันดาลใจ

ปกติแล้ว เมื่อคนเราเกิดมา ก็จะมีชีวิตทางกายภาพในทันที แต่ชีวิตที่มีจิตสำนึก (conscious life) คือเริ่มคิดเป็น เริ่มถามไถ่ตัวเองกับโลกใบนี้ มักจะเริ่มต้นขึ้นตอนอายุประมาณ 12 ขวบ หรือประมาณ ป.5-ป.6 การอ่านหนังสือก่อนหน้านี้ก็อ่านได้ แต่ conscious ยังไม่เกิด ถ้าจะเข้าใจตัวตนของใคร ก็ต้องถามว่าหนังสือที่เขาเริ่มอ่านตั้งแต่อายุ 13 ปี ไล่ขึ้นมาถึงปัจจุบันมีอะไรบ้าง อายุเฉลี่ยของคนไทย ผู้ชายประมาณ 65 ปี ผู้หญิงประมาณ 70 ปี ก็ตีว่าจากอายุ 13 ถึง 65 ปี ในช่วง 50 ปีนี้ คุณอ่านอะไร อ่านมากขนาดไหน

ตัวผมเองเริ่มต้นจากการอ่าน พล นิกร กิมหงวน ต้องเข้าใจว่ายุคนั้นไม่มีวีดีโอ ทีวีก็ยังขาวดำ ความสุขอย่างเดียวที่มีคือการอ่านหนังสือ ผมรักการอ่านหนังสือก็เพราะ พล นิกร กิมหงวน แต่ว่าช่วงที่ผมอ่านหนังสือมากจริงๆ คือช่วงที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่น ประมาณปีที่สอง พอได้เรียนรู้อีกภาษาหนึ่ง เราก็คะนอง สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตบรรเจิด คือการได้เข้าไปในร้านหนังสือแล้วเห็นหนังสือเต็มไปหมด บรรยากาศเหมือนหนังเรื่อง Beauty and the Beast ที่นางเอกไปเห็นห้องหนังสือ ร้านหนังสือที่ญี่ปุ่นน่าดึงดูดมาก หนังสือเล่มแรกที่อ่านในตอนนั้นคือหนังสือที่สอนว่าควรอ่านหนังสืออย่างไร

ผมเริ่มมี conscious เรื่องตัวตนในเชิงประวัติศาสตร์ของตัวเองตั้งแต่อายุประมาณ 19-20 ปี หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผมอายุ 19 ปี คิดอยากเป็นนักปฏิวัติ และถ้ามีช่องทาง ก็อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เมื่อเรารู้ว่าเราต้องการเป็นแบบนี้ เราก็ต้องรับผิดชอบต่อวิถีที่เราเลือก ทำให้เราต้องอ่านหนังสือ

ผมเป็นคนไม่ประนีประนอมในการใช้ชีวิต จะเรียกว่าเป็นคำสาปหรือเป็นคำพรที่มีต่อชีวิตก็ไม่ทราบ เราคิดคล้ายกับมูซาชิ คือถ้าไม่เป็นจอมดาบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ก็ขอตายอย่างหมาข้างถนน พอเราสำนึกว่าขอเหยียบรอยเท้าของตนไว้ในประวัติศาสตร์ ไม่ยอมเป็นแค่กลไกให้แก่ระบบทุนนิยม ไม่อยากเป็นขี้ข้าให้นายทุน ไม่อยากถูกผู้มีอำนาจกระทำต่อเราเยี่ยงคนไร้ค่า อย่างน้อยเราขอประกาศว่าเรามีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งการเขียนหนังสือเป็นการประกาศตัวตนบนโลกใบนี้อย่างดีที่สุด เพราะหนังสือทำให้ความคิดของเราได้รับการบันทึกและสืบทอด

ถ้าเรามีเป้าหมาย มีปณิธานชีวิต การอ่านหนังสือก็จะเต็มไปด้วย passion หากคุณไม่มี passion ในการอ่าน คุณก็จะไม่มี passion ในการเขียน และจะไม่มี passion ในการคิด ถ้าถามว่าสุวินัยคืออะไร สุวินัยก็มีแค่สามสิ่งนี้ ... อ่าน คิด และ เขียน ในชีวิตนี้ ผมมีความสามารถแค่คิด แค่อ่าน แค่เขียน อย่างอื่นไม่มี เราอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตน ได้แค่คิด แค่อ่าน แค่เขียน

ต่อมา พอเราพ่ายแพ้ในการปฏิวัติ ก็รู้สึกเหมือนกับโลกพังทลายลง แต่ปัญหาคือ เรายังมีลมหายใจอยู่ ถึงหมดหวังแต่ไม่สิ้นหวัง เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องคว้านท้อง เพราะไม่เคยทำผิดมโนธรรม ผมกลายเป็น ‘โรนิน’ คือเป็นซามูไรไร้สังกัด ไม่มีใครเป็นนายของผม สมัยก่อนเรามีพรรคคอมมิวนิสต์ หรือขบวนการปฏิวัติเป็นนายเรา แต่ตอนนี้ เราไม่ติดค้างใคร ต้องกลับไปหาความเป็นคนของเรา หรือเข้าสู่โลกทางจิตใจหรือโลกด้านใน

ผมไม่สนใจอำนาจ แต่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักคิด อยากมีอิทธิพลทางความคิดต่อคนอื่น สมัยที่เราเรียนอยู่และอยากเป็นนักปฏิวัติ ก็นั่งคิดถึงขนาดว่าถ้าปฏิวัติสำเร็จ จะวางแผนประเทศ ถ้าประเทศเป็นสังคมนิยมจะมีการ design ประเทศอย่างไร เราเลยได้บทเรียนว่าถ้าอยากเป็นนักคิดต้องเริ่มตั้งแต่วัยประมาณ 20 ปี ถึงก่อน 30 ปี เหมือนอยากจะเป็นนักเทนนิสมืออาชีพก็ต้องเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 10 กว่าปี หากเลยจากนี้แล้วถือว่ายากแล้ว อาจจะเป็นนักเขียนได้ แต่จะไม่ใช่นักคิดในความหมายที่เป็นบัณฑิตทางสังคม

Pure Motive, Pure Action

เคล็ดลับในการอ่าน การคิด การเขียน ของผมคือ ต้องเป็น Pure motive, Pure action นั่นคือ ต้องเป็นการกระทำด้วยใจบริสุทธิ์ การอ่านของคุณต้องอ่านด้วยใจบริสุทธิ์ ถ้าอ่านเพราะใกล้สอบ คุณไม่มีทางเป็นนักอ่านที่ดีได้ ถ้าเขียนเพื่อจุนเจือเลี้ยงชีพ ไม่ได้เขียนเพราะอุดมคติ คุณไม่มีทางเป็นนักเขียนที่ดีได้

คุณต้องเขียนเพื่อเขียน หรืออ่านเพื่ออ่าน หรือเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่แท้ แล้วสิ่งที่ดูเหมือนอ้อมเหล่านี้จะให้ผลโดยตรง คือคุณจะสามารถสร้างผลสะเทือนต่อคนอ่านได้อย่างยาวนาน ถ้าหากว่าไม่มี pure action แล้ว ถ้ามีผลสะเทือนก็แค่ชั่วคราวหรือผิวเผิน การอ่าน การคิด การเขียนของคุณต้องไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อเป้าหมายที่ดีกว่า ถ้าคุณเรียนเพื่อหวังจะได้งานดี เงินเดือนสูง มันจะลดทอนพลังของคุณ

พลังมีความสำคัญ คุณต้องทำให้ตัวเองให้เป็นคนที่มีพลังงานสูงก่อน จึงจะสามารถแปรเปลี่ยนพลังงานสูงเหล่านี้เป็น pure action ใช้ทำอะไรดีๆ ได้ ถ้าถามว่าทำอย่างไรให้มีพลังงานสูง คำตอบก็คือต้องมี pure motive คือมีแรงจูงใจที่บริสุทธิ์ก่อน เป็นแรงจูงใจที่อยู่นอกเหนือผลประโยชน์ส่วนตัว (self-interests)

การเขียนหนังสือเป็นการพิสูจน์หรือการยืนยัน pure power ของเรา ถ้าเรามี pure power เราก็จะเป็น pure being เพราะฉะนั้น ประเด็นจึงอยู่ที่จะเป็น pure being ได้อย่างไร เริ่มต้นต้องเริ่มถามตัวเองก่อนว่าชีวิตของเราให้ความสำคัญกับอะไร หากเป็นเงิน หรืออำนาจ ก็ไม่ต้องพูดเรื่อง pure being pure thought pure life แล้ว ชีวิตของเรา เราเลือกนิยามได้ เราต้องเป็นคนเลือกเอง ต้องกล้าที่จะยอมรับหรือปฏิเสธ ในแง่นี้ การเขียนเป็นการเผยตัวตน พิสูจน์ตัวตนของการอ่าน ของความเป็นมนุษย์ของตัวเรา

ปรุงรสอย่างสงบงัน

ถ้าถามว่าแล้วจะเขียนอย่างไร การเปรียบเทียบที่ง่ายที่สุดคือ การเขียนหนังสือคือการปรุงอาหารชั้นดี เราต้องเลือกวัตถุดิบ ต้องทุ่มเทเอาใจใส่ ผมจะคิดเมนูก่อนว่าจะทำอะไรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ให้มีรสชาติเปลี่ยนไปบ้างในงานเขียนแต่ละชิ้น วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารต้องหลากหลาย เวลากินอาหาร เราไม่ได้กินแค่รส แต่จะเสพด้วยตาด้วย เพราะฉะนั้น เราก็ต้องคำนึงถึงโครงสร้างขององค์ประกอบที่เราใช้

หนังสือแต่ละเล่มประกอบด้วยวาทกรรมหลากหลายมาก วาทกรรมที่ได้รับการยอมรับต้องมีความเร้าใจ มีจังหวะจะโคน การเขียนหนังสือเป็นศิลปะ ไม่ใช่แค่ศาสตร์ เราใช้ศาสตร์ในแง่ที่เป็นวัตถุดิบ แต่ตอนเขียนและนำเสนอออกมาต้องเป็นศิลปะ ไม่เช่นนั้น งานเขียนก็จะไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เมื่อการเขียนเป็นการสร้างสรรค์ หรือเป็นสิ่งที่เรารังสรรค์ขึ้นมา การเขียนก็คือ การให้ความหมายกับสรรพสิ่ง การเขียนคือการที่เราสื่อสารความหมายของเราให้กับจักรวาล การเขียนที่สร้างความสั่นสะเทือนจะไม่หายไปไหน ไม่เหมือนกับเห็นคนแต่งตัวสวย ไม่นานก็เลือนหายเป็นความทรงจำ

ผมค้นพบว่าการสร้างสรรค์เกิดขึ้นจากความเงียบสงัด คนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่สงบงันจะเขียนงานที่ดีไม่ได้ ต่อให้คุณยุ่งแค่ไหน ข้างในต้องสงบเสียก่อน จึงจะเขียนงานออกมาได้

เคล็ดลับสู่ความสงบทำได้ไม่ยาก กล่าวคือ ทำชีวิตให้เรียบง่าย คุณต้องตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิต ถึงจะทำให้กระบวนการคิดและการอ่านดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หากชีวิตไม่เรียบง่ายและไม่สงบแล้ว งานสร้างสรรค์ย่อมไม่เกิด

งานเขียนของผมเกิดขึ้นมาจากความสงบ เมื่อจิตข้างในสงบแล้ว แล้วเราก็สามารถสร้างสรรค์หรือเผยอะไรบางอย่างจากส่วนลึกของเราออกมาได้ ในแง่นี้ ผมไม่ประนีประนอม ผมไม่ยอมเขียนเพื่อการรับจ้างหรือการรับใช้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นตัวเงิน จริงๆแล้ว นักเขียนเป็นอาชีพที่โหดร้าย ผลตอบแทนต่ำมาก พอผมถึงขั้นหนึ่ง ก็รู้สึกว่า กูไม่เอามึง ผลตอบแทนไม่สนใจแล้ว เขียนให้ฟรีก็ได้ ชีวิตนี้ยกให้ก็ได้ ตายยังไม่กลัวเลย จะไปกลัวอะไรกับความยากจน ก็รอดมาได้

ผมเขียนหนังสือแบบศิลปิน คือไม่สนใจผลตอบแทน ไม่สนใจแม้กระทั่งผลตอบรับจากสังคม เราเขียนเพราะเราอยากเขียน พอผมรู้สึกว่ากูไม่เอากับมึงแล้ว ผมก็เป็นอิสระ พ้นจากแรงกดดันของกระแส ผมเลยสามารถเขียนได้ แล้วมันนิ่ง คือเราเขียนสิ่งที่อยากเขียนออกมา โดยที่ไม่ถูกแรงกดดันจากอะไรทั้งสิ้น

จิตใจสูงส่ง

การเขียนที่เขียนออกมาจากความสงบงันนี้ ต้องไม่พิมพ์ ต้องเขียนด้วยปากกา ผมเขียนต้นฉบับด้วยลายมือ เรารู้สึกว่าเป็น artist ถ้าคุณใช้พิมพ์ ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน ก็อยู่อย่างนั้น ไม่ต่างจากการตัดปะ แล้วก็หายไป ถ้างานอยู่ในไฟล์คอมพิวเตอร์ เราจะไม่รู้สึกว่าเป็นนักเขียน ถ้าอยากเป็นนักเขียน ให้จับปากกา จะได้สมาธิ ต้องใช้น้ำอดน้ำทน ผมพบว่า ในการพิมพ์ ช่องว่างระหว่างความคิดกับมือที่พิมพ์จะไม่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว

ผมเคยมีปากกาทองด้ามหนึ่ง ซึ่งชอบมาก เคยใช้เขียนมูซาชิ และมังกรจักรวาล แต่ต่อมาถูกขโมยไปแล้วในธรรมศาสตร์นี่ละ พอปากกาด้ามนั้นหายไป ผมก็ไม่คิดจะหาปากกาด้ามอื่น ตอนนี้ ผมใช้ปากกาแบบเดียวกับที่สถาปนิกใช้ เขียนได้ประมาณ 30 หน้าก็ทิ้งไป ตอนนี้ใช้ไปนับร้อยแท่งแล้ว

ก่อนจะเขียนหนังสือ ผมต้องนอนกลางวันก่อน เพื่อให้สมองแจ่มใส การนอนกลางวันทำให้หนึ่งวันของเราเท่ากับสองสามวันของคนอื่น เพราะทำให้เราสด ถ้าไม่สด ผมเขียนงานออกมาไม่ได้ พอตื่น ก็จิบน้ำชา ทีนี้พอมาจับปากกาจะเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าครึ่งหนึ่งของสิ่งที่จะเขียนอยู่ในสมองเราแล้ว โดยเฉพาะหัวข้อและเค้าโครง

นอกจากนั้น ควรทำงานในที่ประจำ นั่งเขียนที่โต๊ะตัวเดิม ไม่ควรเปลี่ยน เพราะจะมีสนามพลัง (energy field) อยู่ การใช้ที่ซ้ำๆ ในการเขียนหนังสือเหมือนกับมี login พอคุณใส่ password ปั๊บ เข้ามาแล้วจะมีอะไรบางอย่างนำปากกาเราไป เหมือน auto-writing แต่การทำแบบนี้ต้องครบวงจร คือต้องใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสร้างสรรค์

การเขียนหนังสือต้องเขียนด้วยจิตใจสูงส่ง (higher mind) หากเขียนด้วยจิตใจสามัญจะติดขัด เพราะจิตใจสามัญจะฟุ้งซ่าน จิตใจสูงส่งคือความคิดสูงส่ง คุณต้องมีความคิดสูงส่งอยู่ในตัวเองก่อนจึงจะเขียนงานที่ดีออกมาได้ และถ้าจะให้เหนือกว่าขั้นนี้ คุณต้องมีจิตใจกระจ่าง จิตใจกระจ่างเป็นเรื่องของความสว่างโล่งทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นผลผลิตของการฝึกฝน

ถ้าถามว่าจะมีจิตใจสูงส่งได้อย่างไร ก็ต้องเริ่มต้นจากการอ่านหนังสือที่มีความคิดสูงส่งเสียก่อน อ่านให้มากจนกระทั่งหนังสือเหล่านี้ซึมซับเข้าไปจนถึงไขกระดูก เข้าไปเป็นเลือดเนื้อ หล่อหลอมกระบวนทัศน์ของเรา ถ้าอ่านหนังสือไร้สาระมากๆ ความไร้สาระก็ครอบงำคุณ เหมือนกับคุณดูทีวีน้ำเน่า

วิถีแห่งอักษรา

ถ้าคนเราไม่ใช้ชีวิตอย่างซึมเซาหรือขาดความกระตือรือร้นแล้ว มันจะนำไปสู่วิถีหนังสือ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณชอบเรื่องอาหาร ชอบกินขนม อย่าเสพแค่ขนม แต่ต้องถามว่าขนมนี้มีที่มาอย่างไร ต้องไปอ่านประวัติศาสตร์อาหาร ประวัติศาสตร์ขนม ช่วงหนึ่งของชีวิต ผมตกอับต้องไปล้างจานส่งเสียพ่อแม่อยู่หนึ่งปีครึ่งในร้านอาหารสากล เราก็บ้าไปเปิดตำราประวัติศาสตร์อาหาร มันนำเราไปสู่ด้านลึกได้ การสนใจเรื่องหนึ่งเรื่องใดอย่างจริงจังล้วนนำเราไปสู่องค์ความรู้

การอ่านที่มีความจำเป็นต่อวิวัฒนาการของตัวเรามีอยู่ 4 หมวด หนึ่ง เรื่องตัวตน (self) สอง เรื่องธรรมชาติ (nature) สาม เรื่องสังคม (society) และสี่ เรื่องวัฒนธรรม (culture) ในแต่ละปี เราควรอ่านหนังสือให้ครบทั้งสี่หมวดนี้ แล้วทำบันทึกสะสมไปเรื่อยๆ องค์ความรู้เหล่านี้จะนำคุณไปสู่ความสามารถในการเขียนที่หลากหลาย การอ่านที่หลากหลาย และการคิดที่หลากหลายด้วย

สิ่งที่สังคมไทยขาดมากคือการคิดที่หลากหลาย ถ้าหากสังคมไม่พัฒนาไปในทางพหุนิยมแล้ว สังคมนี้ล้มเหลวแน่นอนในทุกด้าน เพราะคนเราคิดด้านเดียวเกินไป ไม่สามารถเข้าใจวิธีคิดที่แตกต่างของคนอื่นได้ สังคมถึงแตกแยกอย่างรุนแรงขนาดนี้

เพราะฉะนั้นเราสามารถช่วยสังคมนี้ได้โดยไม่ต้องมาเคลื่อนไหวปฏิวัติให้เหนื่อยยากดเหมือนสมัยคนรุ่นผม แต่เริ่มต้นด้วยการอ่านที่หลากหลาย การคิดที่หลากหลาย และการเขียนที่หลากหลาย ก็ถือว่าคุณช่วยสังคมอย่างใหญ่หลวงแล้ว



หมายเหตุ: เรียบเรียงจากบทอภิปรายของ ดร.สุวินัย ภรณวลัย จากการเสวนาหัวข้อ ‘เขียนทำไม? เขียนอย่างไร?’ จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:23:04:34 น.  

 




วันนี้..วันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 2
พระจันทร์แสนงามอีกแล้วสินิ..!!
เต็มดวงดูสว่างเหมือนเสริมสร้างจิตใจไม่มืดมนต์ดีจังค่ะ

ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีให้กับทุกคน
คือชีวิตที่สมบรูณ์และมั่งคั่ง เป็นชีวิตที่งดงาม
และมีพลังไม่สิ้นสุดเสมอ

อย่าลืมไหว้พระก่อนนอนนะค่ะ
อนุโมทนาค่ะ









โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:14:37:29 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ค่ะ

เขียนทำไม?
เขียนเพื่อให้ความในใจมีชีวิต
เขียนเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ รับฟัง
เขียนเพื่อค้นหาบางสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจของตน

เขียนทำไม....?


...........
สงบสยบเคลื่อนไหว ใช้บ่อย ๆ ค่ะ

...........
อย่าลืมดูแลสุขภาพกายและใจนะคะ





โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 25 มกราคม 2551 เวลา:6:37:32 น.  

 
สวัสดีค่ะ...

อ่านบทความจนตาลายไปหมดแล้วค่ะ..

อ่านเสร็จแล้วลืมไปว่า อ่านเรื่องอะไร มันBLUR..

zwani.com myspace graphic comments
Myspace Kisses Comments & Graphics

ขอจูจ๊บด้วยคนค่ะ..ฮิๆ


โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 25 มกราคม 2551 เวลา:16:42:18 น.  

 

จ๊ะเอ๋
มีประโยนช์มาก ๆ เลยค่ะ
หนี่ฯ ขอบคุณมากนะคะ

แวะมาฟังเพลงด้วยค่ะ
เย้ ๆ ๆ ๆ




โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 25 มกราคม 2551 เวลา:23:40:16 น.  

 
มาขอบคุณที่ไปที่บล็อกเมื่อกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วนะคะ

มาถึงก็อ่านจนตาลายเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆนะคะ


โดย: หญ้าหนวดแมว วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:4:23:24 น.  

 


บุรีรัมย์ 30 ม.ค. - นายดุสิต ทุมมากรณ์ หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวปราสาทพนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่ำ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นเทศกาลท่องเที่ยวนั้น มีประชาชนหลั่งไหลทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าชมความงามของปราสาททั้งสองแห่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านกว่าเท่าตัว โดยเฉพาะชาวต่างชาติมากกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 30 คาดว่าธุรกิจร้านค้าในพื้นที่มีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท และเชื่อว่าถ้าปราสาทหินพนมรุ้งได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างเนืองแน่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา คาดว่าจะทราบผลในปี 2553. -สำนักข่าวไทย

"""""""""""""""""""""""""""""""

เพิ่งไปมาเมื่อวาน แล้วจะมาเล่าให้ฟัง เป็นอีกทริปที่อยากรู้ปรากฏการณ์ที่แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาที่ปราสาท แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า จะมีในช่วง 3-5 เม.ย. จะมีการจัดงานในช่วงนั้นด้วย อยู่ใกล้กับอำเภอนางรองนะครับ ขากลับเข้าทางโชคชัย-โคราชไปดูหมฅู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ได้เห็นพัฒนาการฝีมือของชาวบ้านมากมาย และได้สินค้าราคาไม่แพง ของที่นี่ส่งไปขายทั่วประเทศโดยเฉพาะที่เราเห็นที่อ่างศิลาก็ส่งมาจากที่นี่


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:0:27:15 น.  

 
แว้บมาอีกที เคยไปปราสาทพนมรุ้งนานหลายปีแล้วเหมือนกันค่ะสมัยถ่ายรูปกล้องฟิล์ม ยังไม่มีดิจิตอล ตอนนี้รูปเอาไปเก็บที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ค่ะ เสียดายเหมือนกัน อย่าลืมมาเล่าให้ฟังนะคะ จะได้อาศัยรำลึกคงามหลังบ้างค่ะ


โดย: หญ้าหนวดแมว วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:04:03 น.  

 
ขออภัยพิมพ์ผิดค่ะ "จะได้อาศัยรำลึกคงามหลังบ้างค่ะ" "ความหลัง" ค่ะ รีบไปหน่อยเลยลืมอ่านทวนค่ะ


โดย: หญ้าหนวดแมว วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:10:06 น.  

 
จุสบายดีค่ะพี่


ปราสาทหินพนมรุ้งจุก็อยากไปดูปรากฏการณ์นั้นเหมือนกันค่ะ แต่ว่า

จุไม่ชอบคนเยอะ........

จุไปมา 2-3 ครั้ง ทุกครั้งลืมเอากล้องไป ไปแบบอยากไปก็ขึ้นไปเลย ไม่ได้ตั้งใจไป ช่วงที่ไปมือถือก็ไม่มีค่ะ ครั้งสุดท้ายที่ไปนานมาแล้วเหมือนกันค่ะ


โดย: กระจ้อน วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:50:49 น.  

 
ดอกไม้ปลายปืน:พัฒนาการการเมืองไทยภายใต้บริบททุนนิยมโลก!

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 31 มกราคม 2551 16:49 น.


ปรากฏการณ์การเลือกประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรีของไทยผ่านไปแล้ว ทำให้การเมืองไทยพัฒนาไปในทิศทางที่ชัดเจนขึ้นอีก ส่วนจะเป็นทิศทางใดนั้นขึ้นอยู่กับแนวคิดทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ของแต่ละสำนักคิดอย่างไรก็ตามอยากจะเรียนว่าความแตกต่างในการวิเคราะห์ปัญหาการเมืองไทยของคนไทยปัจจุบันนี้คือเบื้องหลังหรือที่ของการแตกแยกในสังคม

กลุ่มที่มองการเมืองในรูปแบบวิเคราะห์การเมืองไทยโดยมองเฉพาะระบบ องค์กร ฯลฯ ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยในรูปแบบ เช่น มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมือง การมีรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา รวมถึงมีรัฐบาลดำเนินงานไปตามครรลองของระบบ ก็มักจะมองแบบสบายอกสบายใจว่าเราได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาแล้ว

พวกที่ใช้ทฤษฎีวิเคราะห์แบบนี้ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม มักเชื่อว่าสังคมมีดุลยภาพ (Equilibrium) กลุ่มต่าง ๆ ในสังคมมีศักยภาพและพลังอำนาจเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร เชื่อในระบบและกระบวนการของระบอบประชาธิปไตยและเชื่อว่าสังคมจะมีการปรับตัว (Adaptation) เชื่อว่าประชาธิปไตยไม่ได้สร้างขึ้นภายในเวลารัดนิ้วมือเดียว ประชาชนต้องเรียนรู้และลองผิดลองถูก

มองแบบนี้ก็จะสนับสนุนความถูกต้องหรือที่มาของนายกรัฐมนตรี ว่าผ่านการเลือกตั้งมา ส่วนองค์ประกอบทางการเมืองอื่น ๆ ผิดถูกควรว่ากันไปตามกฎหมายและให้ระบบประชาธิปไตยแก้ไขด้วยตัวของมันเอง

ส่วนกลุ่มที่มองมากกว่าการวิเคราะห์อำนาจที่เป็นทางการ ดูมากกว่าองค์กรหรือสถาบันทางการเมืองดังกล่าวแล้ว หากแต่วิเคราะห์ลงไปถึงลักษณะสำคัญของโครงสร้างเชิงอำนาจในสังคมไทยว่า ปัญหาหลักของประชาธิปไตยไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจ ที่กลุ่มเศรษฐกิจใช้ความได้เปรียบที่ครองฐานอำนาจนี้ปูทางครอบงำอำนาจทางการเมืองโดยใช้กลไกประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ

แนววิเคราะห์แบบนี้มองความเป็นจริงของอำนาจเศรษฐกิจและการเมืองและได้ข้อเท็จจริงทางรูปธรรมพิสูจน์ว่า กลุ่มต่าง ๆ ในสังคมมิได้มีศักยภาพและพลังอำนาจเท่าเทียมกันแต่มีคนที่อยู่เหนือกว่ามีอำนาจมากกว่ากับผู้ที่ไร้อำนาจ การเมืองจึงเป็นภาพจริงของคนมีอำนาจเศรษฐกิจและการเมือง ส่วนพลเมืองที่ยากจนทั้งหลายมีเพียงมือที่สร้างอำนาจเฉพาะในวันหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น

โดยนัยนี้สภาพการเมืองไทยที่ผ่านมาทุนคลื่นลูกที่สาม คือทุนทักษิณ เป็นรูปธรรมชัดเจนพิสูจน์ว่าเมื่อกลุ่มเศรษฐกิจได้อำนาจการเมืองครอบครองทั้งสภาล่างและวุฒิสภา (ส่วนใหญ่) จึงสามารถกำหนดองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญให้อยู่ในมือตนและใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องเป็นหลัก

บังเอิญว่าการวิเคราะห์แนวนี้ต้องการมากกว่าจะรู้ทฤษฎีหรือใช้พลังการอธิบายของทฤษฎี หากแต่ยังต้องการข้อมูลรูปธรรมเพื่อร้อยเรียงและประกอบหรือยกระดับการอธิบายไปตามกฎเกณฑ์แห่งทฤษฎีนั้น คนธรรมดาจึงมีแนวโน้มไม่ใช้แนววิเคราะห์นี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีส่วนได้จากบางกระบวนการบริหารของทุนคลื่นลูกที่สาม ยิ่งทำให้มองไม่เห็นปัญหาเข้าไปใหญ่

โชคร้ายของเมืองไทยก็ตรงพวกที่ดันอาสามาปฏิวัติและกระทำการโดยปราศจากความเข้าใจทั้งในเชิงทฤษฎีและข้อเท็จจริงทางการเมือง หากกลุ่มคนเหล่านี้เดินตามแนวทางทฤษฎีเชิงโครงสร้างอำนาจแล้ว เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวตัวบุคคลแต่จะต้องแก้ไขโครงสร้างอำนาจทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่รวมศูนย์ผูกขาดอยู่ให้กระจายตัวเพื่อแก้ปัญหาได้ถาวร

แต่กลุ่มนักปฏิวัติเหล่านี้ที่มีพฤติกรรมจริงมีเพียงนักยึดอำนาจกลับไม่ได้ทำการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างแต่อย่างใดเลย!

ในทางตรงข้ามกลับไปทำร้ายหรือมุ่งทำลายเฉพาะตัวบุคคลจึงทำให้สังคมส่วนใหญ่รับไม่ได้เพราะตัวบุคคลมีทั้งมิติความดีความไม่ดีหรือมีผิดมีถูก นักทฤษฎีโครงสร้างคิดว่าถ้าจะแก้ปัญหาให้ได้ผลอย่างยั่งยืนแล้ว การกำจัดหรือทำลายแค่บุคคลโดยปล่อยให้โครงสร้างดั้งเดิมคงอยู่ถือว่าไม่ได้แก้ปัญหาอะไร

ที่สำคัญรัฐบาลขิงแก่ไร้สมรรถภาพกลับทำให้ผู้คนถวิลหาบุคลากรชุดเดิมให้เข้ามาบริหารบ้านเมือง เท่ากับขิงแก่เป็นแนวร่วมมุมกลับของระบอบทักษิณโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตามต้องยินดีไปกับสังคมไทยในระดับหนึ่ง ที่ระบบและกระบวนการประชาธิปไตย (ในรูปแบบ) ได้พัฒนาไปอีกหนึ่งวาระ โดยเฉพาะต้องขอชมเชยคุณยงยุทธฯ ติยะไพรัช ทำหน้าที่ในฐานะประธานสภาฯ ได้อย่างเป็นกลาง ขอให้รักษาระดับความสามารถเช่นนี้สืบต่อไป

ส่วนตัวนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้นเป็นคนเชื่อในระบบประชาธิปไตยหรือไม่นั้น ยังเป็นข้อกังขาเพราะในช่วงตุลา 16 - 19 (ภายใต้รัฐบาลหอย) มีพฤติกรรมเป็นเผด็จการก่อกรรมทำเข็ญกับนักศึกษาพลังก้าวหน้าไว้มาก อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์ที่ตัวบุคคลแล้วคุณสมัครฯ เป็นคนปากกับใจตรงกัน ทักษิณฉลาดเลือกใช้งานสมัครให้เป็นประโยชน์ได้

อีกด้านหนึ่งนั้นนายสมัครฯ ตกอยู่ในสถานะนายกฯที่ไร้อำนาจจริง เพราะพลพรรค หรือ ส.ส. ในพรรคและที่มาร่วมรัฐบาลทั้งหมดไม่เจรจากับคุณสมัครฯ กลับไปเจรจากับเจ้านายที่ฮ่องกง นายสมัครฯ จึงเป็นนายกฯที่ต้องถูกกำกับและชี้นำจากเจ้านายที่ฮ่องกง ซึ่งไม่ทราบว่านายสมัคร จะยอมรับสถานภาพและบทบาทนี้ได้นานแค่ไหนเพียงไร

หากคิดว่ามนุษย์เราเกิดมาชาติหนึ่งนั้นขอเป็นนายกฯเพื่อ "เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสืบไป" ตายไปแล้วจะได้นอนตาหลับ นายสมัครฯ ก็บรรลุวัตถุประสงค์แล้วแต่อย่ากระทำหรือมีพฤติกรรมการบริหารประเทศคล้ายนายกฯขิงแก่ก็แล้วกัน เพราะนายกฯขิงแก่คงมีเป้าประสงค์การเป็นนายกฯเพียงแค่ "เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสืบไป" ส่วนบ้านเมืองจะฉิบหายอย่างไรช่างมัน

สำหรับคนไทยเองให้ฉุกคิดไว้ด้วยว่ารัฐไทยในยุคโลกาภิวัตน์นั้นทุนภายนอกและทุนภายในเป็นผู้ที่มีอำนาจแท้จริง บดบังการตัดสินใจอย่างอิสระของสังคมหรือระบบการเมืองของไทยได้ อย่างแท้จริง รัฐบาลนายสมัครฯ คงต้องต่อสู้กับสภาวะเศรษฐกิจและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างจากภายนอกประเทศ สังคมไทยจึงควรหยุดขัดแย้งและหันมาให้กำลังใจกับรัฐบาลชุดปัจจุบันอย่างจริงใจได้แล้ว



โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:37:22 น.  

 

สู่วิสัยทัศน์ใหม่:เศรษฐกิจโต:เพื่อใคร?

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 31 มกราคม 2551 16:59 น.


มาจนถึงขณะนี้ทางการสหรัฐได้ออกนโยบายและมาตรการทางด้านการเงินการคลังหลายด้านซึ่งค่อนข้างจะเป็นการให้ยาที่ค่อนข้างแรง เพื่อการต่อสู้กับสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ยาค่อนข้างแรงดังกล่าวนี้เมื่อฉีดเข้าไปแล้วคนไข้จะมีอาการกระเตื้องขึ้นแค่ไหน

เราในเห็นจะต้องติตามดูกันต่อไปว่ากันว่าถ้าหากเศรษบกิจของสหรัฐขยายตัวในอัตราที่ต่ำลงเป็นเวลา 2 ไตรมาสติดต่อกันเราก็จะได้เห็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เรียกว่า Recession ได้เข้ามาเยือนอย่างเป็นทางการแล้วในสหรัฐ

ภาวะ Recession หรือเศรษฐกิจถดถอยฝรั่งเขาให้คำอธิบายว่าเป็นภาวะที่เพื่อนบ้านเราตกงานหรือว่างงาน ส่วนภาวะ Depression หรือภาวะหดหู่นั้นอธิบายว่าเป็นภาวะที่ตัวเราเองว่างงานหรือตกงาน

ที่จริงแล้วโลกในยุคนี้แตกต่างจากโลกในยุคอดีตเป็นอย่างมากใครก็ตามที่พยายามทำนายทายทักเหตุการณ์อะไรล่วงหน้าแบบฟันธงลงไปมักจะหน้าแตกแทบทุกราย เพราะโลกสมัยนี้คิดเป็นแบบเส้นตรงเอาผลความสำเร็จที่เคยประสบกันมาจากประสบการณ์ในอดีตมาธิบายกับสถานการณ์ปัจจุบันและทำนายออกไปในอนาคตไม่ได้เสมอไปเสียแล้ว

สมัยก่อนโน้นว่ากันว่าประเทสสหรัฐอเมริกาเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดทางเศรษฐกิจของโลกมีอำนาจซื้อมากมาย เปรียบกันว่าหากเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นหวัด ไอ จาม ออกมาฟืดฟาดเมื่อไหร่ ประเทศอื่นๆทั้งโลกก็ต้องติดหวัดตามกันไป

แต่มาถึงสมัยนี้ "มันไม่แน่ดอกนาย"เพราะยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกมิใช่มีแค่สหรัฐอเมริกา เวลานี้ จีน และอินเดีย กำลังกลายเป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลก เพราะประเทศเหล่านี้มีพลเมืองรวมกันหลายพันล้านคนมีอำนาจและกำลังการซื้อมหาศาลเพราะเศรษฐกิจของทั้งสองประเทสนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่ผ่านมา

ถ้าจำไม่ผิดประเทศจีนกำลังเติบโตในอัตราที่มีตัวเลขสองหลัก (ร้อยละ 10-11) ในขณะที่อินเดียก็ไม่น้อยกว่าร้อยละ 9 ต่อปี

ถ้าเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นหวัดเกิดความชะงักงันลงไปก็คงส่งผลกระทบต่อทั้งสองประเทศนี้ไม่มากนักอาจจะทำให้แค่ความเติบโตลดลงไปเล็กน้อยประมาณร้อยละ 1 เท่านั้น เศรษฐกิจของสหรัฐเองจะชะงักงันไปมากน้อยแค่ไหนก็อาจจะทำนายทายทักได้ยากกว่าแต่ก่อนเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของอุตสาหกรรมแต่เพียงอย่างเดียวแต่ได้ก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge based)ที่ต้องพึ่งแรงงานประเภทมนุษย์เงินเดือนน้อยลงไป มีคนใช้ประเภทความรู้สร้างงานด้วยตนเอง มีความยืดหยุ่น ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

กล่าวได้ว่าภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 นั้นเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกลายเป็นโลกแบบแบนๆขึงพรืดอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ทั้งโลก การจะทำนายทายทักสถานการณ์ทางเศรษฐกิจใดๆเห็นจะต้องทำความเข้าใจกับความเป็นจริงของโลกสมัยใหม่นี้ให้จงหนัก

ในขณะที่สังคมสหรัฐกำลังทุ่มเทความสนใจไปในด้านการแก้ไขปัญหาสภาวะเศรษฐกิจถดถอย บรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลายในประเทศของเราก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก

แท้จริงแล้วสังคมไทยเราทั้งในระดับนโยบายภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเป็นผู้ลงทุนขนาดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจให้ความสำคัญกับเป้าหมายการเร่งรัดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกันมาก มีคนจำนวนไม่น้อยในบ้านเราที่ยังคิดว่าเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนาประเทศคือการพัฒนาเศรษฐกิจ

เขาอ้างว่าเศรษบกิจต้องเติบโตมิฉะนั้นจะไม่สามารถสร้างงานให้คนทำได้คนก็ไม่มีรายได้ ประเทศก็ไม่มีรายได้มาลงทุนสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างถนนหนทาง รวมทั้งการแก้ไขน้ำเสีย อากาศเสีย ฯลฯ

พวกเขายังอ้างอีกว่า ถ้าเศรษฐกิจไม่เติบโตก็จะแก้ไขปัญหาความยากจนไม่ได้ เพราะมีผลการวิจัยปรากฏอย่างชัดเจนว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ความยากจนลดลง แต่ที่มันลดลงไปนั้นเป็นผลพวงจากการขยายการจ้างงานทำให้คนที่ว่างงานไม่มีรายได้มีรายได้จากการมีงานทำมากขึ้น

ความยากจนที่ลดลงไปเป็นการลดลงของสภาวะความยากจนที่เรียกว่า "โคตรจน"หรือจนสมบูรณ์แบบเท่านั้น ทำให้คนมีรายได้พอเพียงต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐานแค่ปัจจัยสี่ การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมอันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมาฉันท์ในสังคมมิได้เกิดขึ้นมาควบคู่กันไปเลย

กรณีประเทศไทยเรานั้นแม้การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมามีผลให้สภาวะความยากจนสมบูรณ์แบบของประชาชนลดลงไปมากแต่ช่องว่าหรือความแตกต่างกันระหว่างรายได้ของชนกลุ่มต่างๆยังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใดอาจเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

ในขณะที่เรามัวแต่กังวลให้ความสนใจกับเสียงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การส่งออก ค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้น ตลาดทุน รวมทั้งการว่างงานการแก้ไขปัญหาความยากจน เราต้องไม่ลืมปัญหาโครงสร้างขั้นพื้นฐานทางด้านการกระจายรายได้ การถือครองสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจซึ่งในความเห็นของผมแล้ว ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคม เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งที่ทำให้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้เติบโตต่อไปอย่างไม่ล้มลุกคลุกคลาน

ประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะมีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจมีการกระจายรายได้และการถือครองทรัพย์สินทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม ระบอบประชาธิปไตยของเราจึงปักหลักอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่มีการถือครองทรัพย์สินทางเศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่ในมือของคนไม่กี่กลุ่ม ไม่กี่ตระกูล

ถ้าคนทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากผลพวงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันไม่รวยกระจุกแต่จนกระจายและอาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เท่าๆกันด้วย

วิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่มีหลักการสำคัญของการเปรียบเทียบในลักษณะที่เรียกว่า Relation หรือ Comparative มีผลงานวิจัยทางด้าน เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยความสุข (Economics of happiness)ค้นพบว่านักกีฬาที่ได้เหรียญทองแดงมีความสุขมากกว่านักกีฬาที่ได้เหรียญเงิน เพราะเขาเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้เหรียญอะไรเลยเขาก็มีความสุข ความพอใจในเหรียญทองแดงที่ได้รับแล้ว

ในขณะที่นักกีฬาที่ได้เหรียญเงินเขาอาจมีความสุขด้อยกว่าเพราะเขาไม่เปรียบเทียบกับคนที่ได้เหรียญทองเพราะเขามีสิทธิ์ลุ้นเหรียญทอง เมื่อได้แค่เหรียญเงินเขาก็มีความสุขน้อยกว่าผู้ได้รับเหรียญทองแดง

นักกีฬาที่ได้รับเหรียญเงินจึงมีความสุขน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับนักกีฬาเหรียญทองและทองแดง ความสุข ความทุกข์ ความพอใจ ไม่พอใจ ที่เกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบกันในสังคมจึงมีความสำคัญ

ถ้าไม่เร่งแก้ไขปัญหาการกระจายรายได้แต่สร้างความเป็นธรรมในการถือครองสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจมัวแต่จะแข่งขันกันสร้างความร่ำรวยเพียงเพื่อเหลือเศษเดนให้คนพ้นภาวะโคตรจน

ความขัดแย้งระหว่างความรวยไม่พอกับคนรวยไม่ทันจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งต่อการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคม สำคัญแต่ว่าใครเล่าจะเอาลูกกระพรวนไปผู้คอแมวโดยไม่ให้แมวมันกัดเอา





โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:38:34 น.  

 
เป็นกำลังใจให้...ทุกชีวิตมีความสุข


โดย: มีนชนะ IP: 58.147.50.192 วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:43:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.